top of page

วิธีทำความสะอาดหนังแก้วและวิธีย้อมสีหนังแก้ว

หนังแก้วเป็นหนึ่งในวัสดุที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจ ด้วยความที่หนังแก้วมีความเงางามดังแก้ว สมตามชื่อหนังแก้ว เมื่อนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม เช่น กระเป๋าหนังแก้ว รองเท้าหนังแก้ว จึงมักจะดูหรูหรา งามตา ส่งเสริมบุคลิคให้กับผู้สวมใสเสมอ

วิธีทำความสะอาดหนังแก้ว ที่ยังมีสภาพและสีที่สมบูรณ์ดีอยู่นั้น ง่ายมาก เพียงแค่ใช้

BT.PATENT CLEANSING MOUSSE มูสทำความสะอาดหนังแก้ว (สำหรับหนังแก้วแท้ไม่ใช่ PVC) กดใส่ BT.WYPALL COLOR COADED WIPER ผ้าขุยน้อย แล้วเช็ดเป็นวงกลม เท่านี้หนังแก้วก็จะกลับมาเงางามตามเดิม

แต่ในขณะเดียวกันหนังแก้ว เป็นหนังที่มีกรรมวิธีการผลิตที่พิเศษแตกต่างจากหนังประเภทอื่น อาจพูดได้ว่า เมื่อเทียบกับหนังประเภทอื่น ๆ แล้ว หนังแก้ว กลับมีอายุการใช้งานที่ไม่ยืนยาวนัก เมื่อผ่านการใช้งาน หรือเก่าเก็บ กลับมีปัญหาตามมามากมาย โดยหลัก ๆ แล้วมีประมาณ 3 ปัญหาหลัก

1. หนังแก้วเหนียว อันเนื่องจากตัวเคลือบซึ่งเป็นพลาสติกชนิดหนึ่งซึ่งสามารถ หลอมละลายตัวเองได้ในภูมิอากาศร้อนชื้นแบบบ้านเรา ทำให้แม้ไม่ได้ใช้ก็หมดสภาพและเหนียวได้นะคะ ดังนั้นการเก็บรักษาหนังแก้วนั้น ที่ดีที่สุดควรจะ ห่อด้วย กระดาษลอกลาย เพื่อไม่ให้มีขุยติดที่หนังแก้ว ช่วยให้ระบายอากาศได้ดี และกันฝุ่นนะคะ

2. หนังแก้วเหลือง หรือแตก เป็นอีกปัญหาหนึ่งซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นอาการเสื่อมสภาพของสารเคลือบผิวเช่นกันค่ะ

3. หนังแก้วเลอะหมึก หรือสีกางเกงยีนส์ หรือดูดสีต่าง ๆ เข้าไปในสารเคลือบ

หากหนังแก้วมีอาการ 3 ประการข้างต้น ไม่ต้องคิดจะทำความสะอาดเลยค่ะ สิ่งที่ต้องทำคือการทำสี ซึ่งการทำสีหนังแก้วนั้น นับว่าสร้างความปวดหัวให้กับร้านสปาไม่น้อยเลยค่ะ จากปัญหายอดนิยม 3 หัวข้อข้างต้น วิธีแก้ปัญหาก็คือ การย้อมสีหนังแก้ว หรือการทำสีหนังแก้วใหม่ค่ะ

ขออธิบายโครงสร้างของหนังแก้วง่าย ๆ ก่อนนะคะ หนังแก้วประกอบกัน 3 ชั้น โดยประมาณ ด้านล่างสุดเป็นหนังแท้ ตรงกลางเป็นสี ชั้นบนสุดเป็นตัวเคลือบพิเศษซึ่งหนาและเงา

โดยการทำสีขั้นที่ 1 ก็คือการล้างทำความสะอาดหนัง เตรียมพื้นผิวก่อนทำสี ให้ใช้ BT.COATING REMOVER และฟองน้ำเมลามีน เช็ดตัวเคลือบทิ้งได้เลยค่ะ หากขณะเช็ดหนังแก้วละลายและเหนียวออกมา ไม่ต้องตกใจ เป็นเรื่องปกติในการทำความสะอาดตัวเคลือบผิวของหนังแก้วค่ะ

หมายเหตุ : จากปัญหาข้อ 1&2 หนังแก้วเหนียว หนังแก้วเหลือง และหนังแก้วแตก หากโชคดีหลังทำความสะอาดตัวเคลือบแล้ว สีด้านล่างตัวเคลือบยังสมบูรณ์ดีอยู่ ก็ไม่ต้องทำสีค่ะ ให้ใช้ BT.COLOR COATING MX GLOSS เคลือบทับได้เลย

ขั้นที่ 2 คือการทำสีตามขั้นตอนการทำสีตามปกติ เมื่อล้างและเตรียมพื้นผิวหนังแก้วเรียบร้อยแล้ว พื้นผิวจะต้องไม่เหลือความเป็นแก้ว หรือสีเดิมอยู่เลย ต้องล้างจนเหลือเฉพาะชั้นหนังด้านในเท่านั้น คุณภาพของงานที่เคลือบใหม่จึงจะออกมาดีคล้ายของเดิมมากที่สุด และช่วยให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน หากเคลือบทับบนแก้วเดิม งานอาจจะออกมาสวยในกรณีที่เป็นแก้วเรียบไม่มีการปั้มลาย แต่อายุการใช้งานจะค่อนข้างสั้น และลอกง่ายค่ะ

ขั้นสุดท้าย คือการเคลือบผิวโดยใช้ BT.COLOR COATING MX GLOSS เคลือบทับเป็นขั้นตอนสุดท้าย

สำหรับคนไทยนั้นจะขอยกตัวอย่างการย้อมสีหนังแก้วโดยละเอียดในเคสการย้อมสีของ Louis Vuitton Vernis เนื่องจากเป็นกระเป๋ายอดนิยมของคนไทย ที่มักจะมีปัญหาเรื่องสีอย่างมากมาย

วิธีย้อมสีหนังแก้ว Louis Vuitton Vernis

1. ใช้ฟองน้ำเมลามี แตะ BT.COATING REMOVER เช็ดตัวเคลือบและสีออกจนหมด ให้เหลือเพียงหนังเปลือย ๆ ตามภาพทางซ้ายมือ เป็นเรืองสำคัญมากที่ต้องล้างให้สะอาด สำหรับหนังแก้วของกระเป๋ารุ่นนี้ เนื่องจากมีการปั้มป์โลโก้ LV เป็นร่อง หากไม่ทำความสะอาดให้ดีและทำสีทับลงไปทั้งแบบนั้น ผลที่ได้คือ บริเวณโลโก้จะดูตื้นและดูเหมือนกระเป๋าปลอมในที่สุด

2. ลงตัวรองพื้น BT.COLOR BASE รอสักครู่ให้มีความหนึบเล็กน้อยแล้วจึงทำสี เพื่อเพิ่มอายุการใช้งานของสีให้ยาวนานขึ้น

3. ลงสีรองพื้น BT.STANDARD PRIMER COLOR เป็นสีเฉดเทาเข้ม เพื่อทำให้พื้นหนังมีสีที่เสมอกัน

4. ลงสีจริงด้วย BT.STANDARD COLOR ผสมเตรียมไว้ให้ได้เฉดที่ต้องการ ลงประมาณ 2-3 ชั้น หรือจนกว่าสีจะเต็มสวย แต่ในเคสของ LV vernis ไม่ใช่สีธรรมดา แต่มีความวิบวับจากความเป็นสีเมทาลิคเล็กน้อยด้วย ดังนั้นต้องผสมสีจริงเผื่อการลงสีขั้นต่อไป

5. เมื่อลงสีจริงเสร็จแล้ว ให้นำสีจริงในข้อ 4 ผสมกับ สี BT.STANDARD METALLIC : GOLD เล็กน้อย แล้วลงทับ 1 ชั้น

ุ6. เคลือบแก้ว โดยใช้ BT.COLOR COATING : MX GLOSS SET ผสมกัน ใน 1 ชุด จะ

ประกอบด้วย MX GLOSS และ MX GLOSS DILUTE ให้ผสม MX GLOSS และ MX GLOSS DILUTE ในอัตราส่วน 70% ต่อ 30% หรือ 7:3 (MX GLOSS:MX GLOSS DILUTE) ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการผสม 10ml ให้ใส่ MX GLOSS 7ml และ MX GLOSS DILUTE 3ml การเคลือบแก้วนั้น แนะนำให้ใช้อุปกรณ์การพ่นจะดีที่สุด

6.1 ปรับแรงดันลมให้ต่ำประมาณครึ่งบาร์

6.2 เปิดหัวพ่นลมให้กว้างที่สุด

7. พ่นช้า ๆ ไปที่ชิ้นงาน ให้ฉ่ำ และไม่เยิ้ม บังคับพ่นเป็นบรรทัด โดยบรรทัดใหม่ควรทับกับบรรทัดก่อนหน้าที่พ่นไปแล้ว ประมาณ 1 ใน 3 ของรัศมีการพ่นจนทั่วชิ้นงาน นับเป็น 1 รอบ ควรพ่นทับประมาณ 4 รอบ โดยแต่ละรอบต้องแห้งสนิทก่อนจะพ่นรอบต่อไป และสำคัญมากห้ามเป่าด้วยไดร์เป่าผม หรือเครื่องเป่าลมร้อนใด ๆ ปล่อยให้แห้งเองตามธรรมชาติ ในอุณหภูมิปกติ

คำแนะนำเพิ่มเติม : ควรแบ่งพื้นที่การทำงานเป็น 2 ส่วน โดยใช้ด้ายเป็นตัวแบ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการเคลือบด้าย

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ ในวงการการทำสปานะคะ หากมีปัญหาเพิ่มเติม ติดต่อสอบถามได้ทาง Line ID : @bagtouch เรายินดีแบ่งปันความรู้เพื่อยกระดับวงการสปาของประเทศไทยค่ะ

ดู 6,274 ครั้ง

Comments


bottom of page